Superman (2025): เมื่อความหวังกลับมาเป็นเรื่องการเมือง

ในยุคที่โลกกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในความดีของผู้คน เจมส์ กันน์ ได้นำ Superman กลับมาในรูปแบบที่ไม่เพียงแค่เป็นฮีโร่ แต่เป็นคำถามที่ท้าทายสังคมอเมริกัน หนังเรื่องนี้ไม่ได้เล่าถึงการกำเนิดของซูเปอร์แมน แต่เจาะลึกไปที่แก่นแท้ของตัวละครที่ ต้องประสานความเป็น Kryptonian กับการเติบโตแบบมนุษย์ ในฐานะนักข่าว Clark Kent และเมื่อเขาเป็นตัวแทนของความจริง ความยุติธรรม และวิถีมนุษย์ เขากลับพบว่าโลกมองคุณค่าเหล่านี้เป็นสิ่งล้าสมัย กันน์ไม่อายที่จะพูดว่า “Superman คือเรื่องราวของอเมริกา ผู้อพยพที่มาจากที่อื่นและมาตั้งถิ่นฐานในประเทศนี้ แต่สำหรับผม มันคือเรื่องราวที่บอกว่าความเมตตาของมนุษย์เป็นคุณค่าหนึ่ง และเป็นสิ่งที่เราสูญเสียไปแล้ว” การตีความนี้ทำให้หนังถูกโจมตีว่า “Superwoke” จากกลุ่มอนุรักษ์นิยม แต่กันน์ยืนหยัดว่า “มันเกี่ยวกับความเมตตาของมนุษย์ และแน่นอนว่าจะมีคนเลวอยู่ข้างนอกที่ไม่มีน้ำใจ และจะรู้สึกขุ่นเคืองเพียงเพราะมันเกี่ยวกับความเมตตา แต่ช่างพวกเขาเถอะ” ในมิติของการเล่าเรื่อง กันน์เลือกที่จะไม่เล่าต้นกำเนิดซ้ำ แต่พาผู้ชมเข้าสู่เรื่องโดยตรง ทำให้ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่หนัง origin story แต่เป็นหนัง Superman จริงๆ David Corenswet ในบท Superman ถ่ายทอดความขัดแย้งแก่นแท้ของตัวละคร: เอเลี่ยนที่มีความเป็นมนุษย์มากกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ เขาคือ Clark Kent ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ Christopher Reeve ขณะที่ Rachel Brosnahan ในบท Lois Lane และ Nicholas Hoult ในบท Lex Luthor สร้างแรงตึงเครียดทางอารมณ์และปรัชญาที่ขับเคลื่อนเรื่องราว หนังใช้วิธีการแบบกันน์ในการทอดทิ้งความเห็นที่แหลมคมเกี่ยวกับการใช้สื่อเป็นอาวุธ การต่างประเทศ และความไว้วางใจของสาธารณะ ความท้าทายของ Superman ไม่ได้เป็นเพียงร่างกาย แต่เป็นศีลธรรม การเมือง และปรัชญา ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่สาธารณชนหันหลังให้ หลังจาก Lex Luthor เผยแพร่ข้อความจากพ่อแม่ Kryptonian ที่บิดเบือนให้ดูเหมือน Superman มาเพื่อพิชิตโลก หนังตั้งคำถามว่าในยุคของข้อมูลเท็จและการเมืองแบ่งขั้ว ความดีจะอยู่รอดได้หรือไม่ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ แกนอารมณ์ที่น่าประหลาดใจ ไดนามิกระหว่าง Clark และ Lois เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความอบอุ่นอย่างแท้จริง พวกเขาทะเลาะ พวกเขาล้อเล่น พวกเขารัก มันยุ่งเหยิง มันจริง เมื่อ Superman น้ำตาไหลเพียงแค่คำพูดง่ายๆ จากพ่อบุญธรรม มันกระทบใจมากกว่าการระเบิด CGI ใดๆ

แนวหนัง: แอ็คชั่น ไซไฟ ซูเปอร์ฮีโร่ (มีเนื้อหาทางการเมืองและสังคม)