Pet Sematary: Bloodlines (2023) – เอาจริงนะ ดู Stephen King ยุค Vietnam หรือไม่ดู?

เฮ้ย ถ้าเธอกำลังหาหนังดูในช่วงคืนวันศุกร์ แล้วอยากได้อะไรที่ไม่ใช่หนังโรแมนติกเจี๊ยวจ๊าว ฉันมีหนังเรื่องหนึ่งมาแนะนำ แต่ต้องเตือนก่อนนะ เพราะเรื่องนี้มันแปลกๆ แบบที่พอดูจบแล้วจะงงๆ ว่าทำไมถึงรู้สึกชอบทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่ผลงานชิ้นเอก Pet Sematary: Bloodlines ปรีเควลของ Pet Sematary ที่ย้อนกลับไปปี 1969 เล่าเรื่องราวของ Jud Crandall ตอนหนุ่มๆ (Jackson White) ที่กำลังจะหนีออกจากเมือง Ludlow, Maine ไปเข้า Peace Corps กับแฟนสาว แต่แล้วเรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนวัยเด็กอย่าง Timmy (Jack Mulhern) กลับมาจากสงครามเวียดนาม… พร้อมกับความแปลกประหลาดที่ทำให้ทุกคนในเมืองหวาดกลัว ที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้ไม่ได้พยายามทำตัวเป็นผลงานระดับอิปิกหรืออะไรแบบนั้น แต่มันรู้ตัวดีว่าตัวเองคือ “ภาคเสริม” ที่ออกมาบน Paramount+ และโอเค ถ้าเธอคาดหวังอะไรระดับ The Shining หรือ IT อย่าไปดูเลย แต่ถ้าเธอแค่อยากดูหนังที่มีบรรยากาศแปลกๆ พร้อมกับดาราที่เธออาจจะรู้จักอย่าง David Duchovny (Agent Mulder!) แล้วก็ Pam Grier นี่อาจจะใช่ สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจกว่าที่ควรจะเป็น คือการตั้งฉากในยุค Vietnam War โดยเฉพาะการใช้ PTSD และสภาพจิตใจของทหารที่กลับมาจากสงครามเป็นองค์ประกอบหลัก มันไม่ใช่แค่ “คนตายกลับมาเป็นซอมบี้” แต่เป็นการสำรวจว่าทำไมคนเราถึงยอมทำสิ่งที่รู้ว่าผิดเพื่อได้เวลากับคนที่เรารักอีกสักครั้ง ธีมที่ Stephen King เล่ามาตั้งแต่นิยายต้นฉบับ แน่นอนว่าหนังมีข้อเสียเยอะ การแสดงบางตัวแบนราบ การตัดต่อบางจังหวะช้าเกินไป แล้วก็บางฉากดูเหมือนทำด้วยงบน้อยชัดๆ แต่มันก็มีจุดเด่นที่ทำให้คุ้มดู โดยเฉพาะ Forrest Goodluck ที่รับบท Manny ทำได้ดีเกินคาด และฉากโหดๆ ที่เขียนมาอย่างชาญฉลาด ถ้าเธอเป็นแฟน Stephen King ตัวจริง เธอจะรู้ว่าการดัดแปลงผลงานของเขาส่วนใหญ่ออกมาได้ระดับ 6-7 เท่านั้น ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะเป็น The Shawshank Redemption หรือ Stand by Me ได้ แต่ Pet Sematary: Bloodlines อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ของการดัดแปลง King แนวนี้ มันมีความรู้สึกของ Stephen King อยู่ในนั้น แม้จะไม่ได้เป็นระดับพรีเมียม อีกอย่างที่ชอบคือการที่หนังไม่ได้อวดฉลาด หรือพยายามอธิบายทุกอย่าง มันทิ้งให้ผู้ดูไปคิดเองหลายเรื่อง และถ้าเธอดูเรื่องนี้จบแล้วไปดู Pet Sematary 2019 ใหม่ จะรู้สึกได้ว่ามันเชื่อมโยงกันแบบที่น่าพอใจ สรุปแล้ว ถ้าเธอไม่ได้อยากดูหนังสยองขวัญระดับผีเสื้อกับนายผี แต่อยากดูบางอย่างที่มีบรรยากาศแปลกๆ พร้อมกับได้ดู David Duchovny ในบทที่ไม่ใช่ FBI Agent นี่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวสำหรับคืนวันศุกร์ แค่ปรับความคาดหวังให้เหมาะสม แล้วเปิดใจรับดูเป็นหนัง “ได้ดู” มากกว่า “ต้องดู”
แนวหนัง: สยองขวัญแนวเชื่อมโยงอดีต / ผีป่าคลาสสิก / โซมบี้ยุคเวียดนาม