Totally Killer (2023) – เมื่อความโหยหาอดีตกลายเป็นการเผชิญความจริง

ในยุคที่ความโหยหาอดีตกลายเป็นกระแสวัฒนธรรมสำคัญ “Totally Killer” ของผู้กำกับ Nahnatchka Khan กลับเสนอมุมมองที่แหลมคมและสดใสต่อการย้อนกลับไปสู่ยุค 80s ที่หลายคนอาจจดจำได้แต่ในแง่โรแมนติก ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังสยองขวัญแนวสแลชเชอร์ที่มีเทคโนโลยีการเดินทางข้ามเวลา แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างชาญฉลาดต่อการมองอดีตผ่านแว่นตาสีชมพู แก่นแท้ของเรื่องอยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างสองยุคสมัย เมื่อ Jamie วัยรุ่น Gen Z เดินทางย้อนกลับไปปี 1987 เพื่อปกป้องแม่และเพื่อนๆ ของเธอจากฆาตกร Sweet 16 Killer เธอไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับอันตรายจากนักฆ่าเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับการตระหนักว่ายุค 80s ไม่ได้เป็นยุคทองอย่างที่หลายคนเชื่อ แต่เป็นยุคที่เต็มไปด้วยการเลียนแบบ ความไม่เท่าเทียม และความไม่ปลอดภัยในรูปแบบต่างๆ ความเฉลียวฉลาดของหนังเรื่องนี้อยู่ที่การใช้โครงเรื่องแนวสยองขวัญเป็นฉากหลังสำหรับการวิจารณ์สังคม การที่ Jamie ต้องเผชิญกับ “วัฒนธรรมที่แปลกและโอเวอร์” ของยุค 80s ไม่ได้เป็นแค่คอมเมดี้เพื่อความบันเทิง แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าแต่ละยุคสมัยมีปัญหาและข้อจำกัดของตัวเอง การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ความเหยียดเชื้อชาติและเพศ ที่ในยุคนั้นถือเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นสิ่งที่ Jamie ต้องตกใจและต้องรับมือ นอกจากนี้ หนังยังสำรวจธีมของการที่อดีตไม่ได้ง่ายกว่าปัจจุบันเสมอไป แต่เป็นเพียงยุคที่ “ไม่ปลอดภัยที่จะมีชีวิตอยู่” มากกว่า การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของสังคมไม่ได้ทำให้มนุษย์อ่อนแอลง แต่ทำให้เราตระหนักถึงปัญหาที่เคยมองข้ามไป จนกระทั่งตอนจบที่ Jamie กลับมายังปัจจุบันและพบว่าการเปลี่ยนแปลงอดีตส่งผลต่อตัวตนของเธอเอง ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตล้วนเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ในท้ายที่สุด “Totally Killer” เป็นมากกว่าหนังสยองขวัญคอมเมดี้ เป็นการเตือนใจอย่างชาญฉลาดว่าการมองอดีตด้วยความโหยหาอาจทำให้เราลืมไปว่าทุกยุคสมัยมีทั้งดีและร้าย และสิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า ไม่ใช่การหลบหนีกลับไปยังยุคที่เราคิดว่าดีกว่า
แนวหนัง: สยองขวัญ-คอมเมดี้/ไซไฟ/การเดินทางข้ามเวลา